วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

COLLUME RELATIONCHIC By: VOLUME UP ISSUE NO.7/12 MARCH 2012 ปักษ์แรก มีนาคม 2555 :: สังคม


 “ด่าซะปลิ้นเลย!” ประโยคเปิดของสีเกดในเช้าวันหนึ่ง
            “คราย ด่าใครตั้งแต่เช้า” 
            สีเกดเดินหน้ามุ่ยก่นบ่นใครสักคน ปกติฉันไม่ค่อยเห็นนางอารมณ์เสียสักเท่าไหร่ ในกลุ่มอารมณ์ปรี๊ดปร๊าดที่สุดน่าจะเป็นฉัน ไม่ใช่จิตเภทแต่เพราะใกล้วัยทอง นี่ขนาดไม่มีลูกกวนตัวไม่มีผัวกวนตี-นแล้วก็ยังไม่วาย คนอย่างฉันจะอารมณ์เสียเรื่องอะไรได้นอกจากเรื่อง “เงิน!” (นังนุชนาฎมันคงคิดในใจแบบนี้)
            “อีแพรน่ะสิพี่ วันเสาร์-อาทิตย์นี้ พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน ไปทำบุญต่างจังหวัด มันจะให้หนูมานอนค้างที่บ้านเป็นเพื่อนมัน แต่แทนที่จะโทร.บอก หรือส่งแมสเสสมา มันเขียนในเฟซบุ๊ก พี่ดูมันทำ! หนูเลยโทร.ไปด่าว่า ‘ไม่ใช่’ พี่น้องกันแล้วใช่ไหมถึงได้บอกผ่านทางเฟซบุ๊กให้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้กันทุกคน เดี๋ยวโจรก็ขึ้นบ้านหรอก...”
            ถ้ามีเครื่องตรวจจับความร้อนตอนนี้คงเป็นภาพควันออกหูสีเกดไปแล้ว แต่ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับฉันคงต้องวัดอุณหภูมิความร้อนเทียบกันเพราะระดับฉัน
            “ไปไฟไหม้ไปแล้ว!”
            “อั๋น...ไปลบภาพที่เอาไปลงเฟซบุ๊กออกให้หมดนะ บ้าไปแล้วรึไง รู้จักคำว่าส่วนตัวมั้ย ครอบครัวของเรามันเป็นส่วนตัวไม่เปิดเผยข้องเกี่ยวกับสาธารณะ นี่อะไร เอารูปทุกอย่าง ทั้งนก ทั้งหมา ทั้งป๊า ทั้งลูก ไปลงจนหมด ติ๊งต๊องไปแล้วมึงน่ะ!”
             ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของน้องชายฉัน แต่การที่เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่เป็นน้องกันกับฉันก็ต้องการให้มันเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับใครหรืออะไร มันจึงมีเงื่อนไขในแบบที่ฉันต้องการให้เป็น ในที่สุดน้องชายของฉันจึงต้องลบทุกภาพออกไปแล้วอยู่อย่างโลว์โปรไฟล์ที่สุด
            ในความคิดของฉัน สังคมคืออีกโลกหนึ่งที่ต้องอยู่ให้เป็น ฉันไม่เคยเอาสังคมภายนอกเข้ามาปะปนกับครอบครัวฉัน ราวกับว่าเมื่อใดที่ฉันก้าวเท้าเข้าบ้าน ฉันได้ก้าวออกจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นเขาเป็นกับแบบนี้บ้างหรือเปล่า แต่ชีวิตของเรามันต่างกัน...ต่างคนต่างวิถี
            ฉันไม่เล่นเฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ ซึ่งจะดูเป็นคนล้าสมัยในยุคดิจิตอลแบบนี้ แต่อะไรก็ตามที่มันทันสมัยมากหรือเกินไป บางทีมันอาจจะนำเราและควบคุมเรา แทนที่ ‘เรา’ จะควบคุมมันอยู่ฉันได้เห็นข้อดีของการใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์กแบบถูก วิธีในการแบ่งปันข่าวสารความรู้ต่างๆ ให้กันและกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง (ทุกสิ่งบนโลกมี 2 ด้านเสมอ) ผู้คนมากมายก็ใช้มันไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์ โดนเฉพาะเด็กๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้แค่ว่าอยากรู้จักอะไรใหม่ๆ
            การอยากรู้จักมันคนละความหมายและคนละหนทางกัน เมื่อการ ‘เรียนรู้’ ใช้กับสิ่งที่เป็นสารประโยชน์ แต่ ‘การรู้จัก’ นั้นต้องไปคัดกรองแยกแยะเอาเองว่าดีหรือเลว ถูกหรือผิด ซึ่งในโลกอินเตอร์เน็ตอันกว้างใหญ่กว่าจักรวาลนี้คงไม่มี ใครมาคอยเตือนใครได้ทันท่วงทีกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เลยเถิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้
            ประโยชน์จากการใช้สังคมในอินเตอร์เน็ตเป็นก็คือมันช่วยในการประชาสัมพันธ์ ดูจากคนดังๆ ที่มีทวิตเตอร์แล้วมีคนตามเรื่องราว เห็นได้ชัดว่ามันช่วยขยายผลของงาน ภาพลักษณ์ของคนไทยนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาไม่แล้ววงดนตรีหรือนักร้องหรือผู้มีความสามารถในด้านต่างๆ คงไม่สามารถแจ้งเกิดจากโลกอินเตอร์เน็ตนี้ได้
            คลิปของใครที่มีคนดูมาก คนคนนั้นก็จะเป็นที่สนใจจนกลายเป็นคนดังได้ หากมีคนเอาไปปั้นต่อ อย่างหนุ่มน้อย จัสติน บีเบอร์ สำหรับบ้านเราเห็นประโยชน์ชัดจากช่วงน้ำท่วม ในด้านการขอความร่วมมือร่วมใจช่วยคนไทยด้วยกัน แต่จะมีสักกี่ล้านคนบนโลกที่ใช้มันถูกวิธี ถูกที่ถูกทาง
            ทุกวันนี้สังคมอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ราวกับเป็นแฟชั่นที่ทำตามๆกัน ใช้เป็นเครื่องระบายความรู้สึก ด่าทอ โอ้อวด หรือแม้แต่แสดงความสำคัญของตัว รอให้ใครต่อใครที่ไม่รู้จักเราอย่างแม้จริงเข้ามาแสดงความคิดเห็นแล้วเรียกคนเหล่านั้นว่า ‘เพื่อน’
            หากเป็นเช่นนั้นแล้วความหมายของคำว่า ‘เพื่อน’ ได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้วอย่างสิ้นเชิง
            ฉันยังคงรักความล้าสมัยของการสื่อสารระหว่างผู้คนในแบบเดิมๆ ที่มีเพื่อนน้อย แต่เข้าใจกันมากอย่างลึกซึ้ง มิใช่ผิวเผินแต่มากมาย การนัดเจอกัน กินข้าวกัน คุยกัน ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าและสายตา บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าต่างคนต่างไปทำอะไรมา แต่เมื่อไหร่ที่ได้พบกัน ความเข้าใจและความผูกพันยังคงแน่นแฟ้นและยั่งยืนต่อไปกว่า ‘แค่รู้ว่าทำอะไรแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร (จริงๆ)’
            วิถีชีวิตของฉันยังคงวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แค่บนเวทีกับฟุตบาธข้างถนนที่ผู้คนเดินย่ำไปมา ฉันใช้เวลาว่างเดินเข้าออกตลาดสด อุดหนุนและทักทายแม่ค้า พูดคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่เป็นชาวบ้าน แวะกินอาหารข้างถนนร้านประจำ เมาธ์แตกกับแม่ค้าในเรื่องที่อยู่ในกระแสบนหน้าหนังสือพิมพ์หรือแม้แต่หวย ฉันรู้สึกว่านี่คือมิตรภาพที่สัมผัสได้จริง
            เราต่างอยู่บนเส้นทางทำมาหากินเลี้ยงตัวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่โอ้อวดใคร และไม่ต้องการใครมาตัดสินเราด้วย คห.1 คห.2 บางครั้งเถียงกับไปหัวเราะกับไปตรงนั้น...ชาวบ้านร้ายตลาดเสียจริงเลย

            คน(หน้า) แปลกๆ แบบฉันที่มีหน้าที่การงานเป็นสาธารณะ ยิ่งคนรู้จักมากก็ยิ่งดี แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันยังเก็บความเป็นส่วนตัวที่แท้จริงของฉันไว้ด้วยความที่เชื่อว่า...ชีวิตคนไม่ควรเป็นสาธารณะ และนั่นคือหนทางที่ฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย (บ้านๆ) อย่างมีความสุขต่อไป โดยไม่ต้องขอความคิดเห็นหรือคำตัดสินจากใครใรทุกการกระทำ...
            แม้สังคมจะสำคัญ แต่การมีสังคมก็ไม่ใช่สิ่งที่รับประกันความสำคัญและคุณค่าของคน...เสมอไป  

เจนนิเฟอร์ คิ้ม

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณทุกๆคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเอ็มจีโอโกโบเพื่อช่วยให้ฉันได้กลับมาที่เดิมฉันไม่มีวันทำงานและฉันช่วยฉันฉันไม่ได้เป็นนักสะกดคำเขาคือฉันได้ลองใช้เวทมนตร์คาถา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็แย่ลงก่อนที่ฉันจะไม่ขอบคุณเขา pls ช่วยฉันขอบคุณคุณสะกดล้อคุณสามารถติดต่อเขาใน whatsapp 0 7 0 6 4 2 2 7 4 7 1 หรือส่งอีเมลเขาในlẻogbo 34@gmail.com ติดต่อเขาตอนนี้และมีชีวิตที่ดี

    ตอบลบ